นาฏศิลป์อินเดีย
ชาวอินเดียเชื่อว่า กำเนิดของการฟ้อนรำมีความสัมพันธ์กับเทพ ๒ องค์ คือ พระศิวะ และ พระพรหมนาฏศิลป์อินเดียมีความผูกพันอยู่กับคติความเชื่อ และศรัทธาในศาสนาฮินดู การแสดงนาฏศิลป์สะท้อนให้เห็นถึงการเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ อินเดียถือว่านาฏศิลป์กำเนิดตามคัมภีร์ภารตะนาฏยศาสตร์
ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์อินเดียตามคัมภีร์นาฏยศาสตร์ คือ พระภารตะมุนีเป็นผู้รับพระราชทานนาฏลีลาจากพระพรหม และพระศิวะ ชาวฮินดูจึงยกย่องพระศิวะเป็น “นาฏราชา” หมายถึง พระราชาแห่งการฟ้อนรำ
ยุคที่อินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อินเดียได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทางด้านนาฏศิลป์ การละคร วัฒนธรรม ตะวันตกได้เข้ามาผสมผสานทำให้นาฏศิลป์ที่เป็นแบบฉบับในราชสำนักขาดการดูแลรักษา ต่อมาเมื่ออินเดียเป็นเอกราช จึงฟื้นฟูนาฏศิลป์ประจำชาติขึ้นมาใหม่
ภารตะนาฏยัม
เป็นนาฏศิลป์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย มีส่วนสำคัญในพิธีของศาสนาฮินดูสมัยโบราณ โดยสตรีฮินดูจะถวายตัวรับใช้ศาสนาเป็น “เทวทาสี” ร่ายรำขับร้อง บูชาเทพในเทวาลัย ซึ่งจะเริ่มฝึกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ศึกษาพระเวท วรรณกรรม ดนตรี การขับร้องของเทวทาสีเปรียบประดุจนางอัปสรที่ทำหน้าที่ร่ายรำบนสวรรค์ ท่ารำมีทั้งหมด 108 ท่า
เป็นนาฏศิลป์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย มีส่วนสำคัญในพิธีของศาสนาฮินดูสมัยโบราณ โดยสตรีฮินดูจะถวายตัวรับใช้ศาสนาเป็น “เทวทาสี” ร่ายรำขับร้อง บูชาเทพในเทวาลัย ซึ่งจะเริ่มฝึกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ศึกษาพระเวท วรรณกรรม ดนตรี การขับร้องของเทวทาสีเปรียบประดุจนางอัปสรที่ทำหน้าที่ร่ายรำบนสวรรค์ ท่ารำมีทั้งหมด 108 ท่า
การแสดง ผู้แสดงต้องได้รับการฝึกฝนอย่างมีแบบแผน ด้วยระยะเวลายาวนานจนมีฝีมือยอดเยี่ยม สามารถเครื่องไหวร่างกายได้สอดคล้องกับจังหวะดนตรี เนื้อหาสาระของการแสดง สะท้อนสัจธรรมที่ปลูกฝังยึดมั่นในคำสอนของศาสนา แสดงได้ทุกสถานที่ ไม่เน้นเวที ฉาก เพราะความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของภารตะนาฏยัม คือลีลาการเต้น และการ่ายรำ
ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดง ในวงดนตรีจะมีผู้ขับร้อง 2 คน คนหนึ่งจะตีฉิ่ง คอยให้จังหวะแก่ผู้เต้น อีกคนจะเป็นผู้ขับร้องและตีกลอง ส่วนเครื่องดีด และเครื่องเป่า เช่น ขลุ่ย เป็นเพียงส่วนประกอบให้เกิดความไพเราะเท่านั้น
เครื่องแต่งกาย ในสมัยโบราณ ไม่สวมเสื้อ สวมแต่ผ้านุ่งยาวแค่เข่า ใส่เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู กำไล ข้อมือ ข้อเท้า ต้นแขน ปละเครื่องประดับที่ศีรษะ ปัจจุบันสวมเสื้อ ยึดหลักการแต่งกายสตรีที่เป็นชุดประจำชาติของอินเดีย
กถักกฬิ
เป็นการแสดงละครที่งดงามด้วยศิลปะการ่ายรำแบบเก่าๆ ผู้แสดงจะต้องสวมหน้ากาก นับว่าเป็นต้นเค้าของนาฏศิลป์ตะวันออก เช่น ละครโน้ะของญี่ปุ่น โขนของไทย และนาฏศิลป์อินโดนีเซีย
เป็นการแสดงละครที่งดงามด้วยศิลปะการ่ายรำแบบเก่าๆ ผู้แสดงจะต้องสวมหน้ากาก นับว่าเป็นต้นเค้าของนาฏศิลป์ตะวันออก เช่น ละครโน้ะของญี่ปุ่น โขนของไทย และนาฏศิลป์อินโดนีเซีย
การแสดง ผู้แสดงเป็นชายล้วน แบ่งตัวละครออกเป็นประเภท คือ ประเภทแรกจะเป็นเทพเจ้าที่มีคุณธรรมสูง เช่น พระนารายณ์ พระอินทร์ เป็นต้น ประเภทที่สองจะเป็นมนุษย์ และวีรบุรุษ เช่น พระราม พระลักษณ์ ประเภทที่สามจะเป็นตัวละครที่มีความชั่วร้าย จุดเด่นของการแสดงละครกถักกฬิอยู่ที่การเล่นจังหวะ กระทบเท้าอย่างรวดเร็ว ฉับไว แม่นยำ และลีลาที่หมุนตัวเป็นเอกลักษณ์ของระบำกถักกฬิ
ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงที่สำคัญที่สุด คือ กลอง นอกจากนี้ยังมีเครื่องสีที่มีลักษณะคล้าย ไวโอลีน เรียกว่า “ซารองงี” บรรเลงทำนองด้วย มีนักร้อง 1 คน
เครื่องแต่งกาย ตังละครชาย นุ่งกางเกงขายาว จีบรอบเอว มีผ้าคาดเอว ไม่สวมเสื้อ ตัวละครที่แสดงเป็นผู้หญิง แต่งกายเป็นชุดประจำชาติสตรีอินเดีย ปัจจุบันปรับปรุงการแต่งกายให้งดงาม เป็นผ้าไหมขลิบทองเป็นชุดกระโปรงยาว ใส่เสื้อสวมส่าหรีทับเสื้อ สวมเครื่องประดับ
มณีปุรี
เป็นการแสดงละครของชาวไทยอาหม ในรัฐอัสสัม ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวมองโกล เรียกเมืองหลวงของตนว่า “มณีปุระ”และเรียกการแสดงละครของเมืองนี้ว่า “มณีปุระ”
เป็นการแสดงละครของชาวไทยอาหม ในรัฐอัสสัม ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวมองโกล เรียกเมืองหลวงของตนว่า “มณีปุระ”และเรียกการแสดงละครของเมืองนี้ว่า “มณีปุระ”
การแสดง ผู้แสดงจะต้องมีความสามารถ มีฝีมือ ได้รับการฝึกหัดจนเกิดทักษะในการแสดง เพราะเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงเป็นศิลปะเก่าแก่ประจำชาติ รูปแบบของการแสดงมีสองรูปแบบ คือ ระบำกับละคร เนื้อเรื่องที่แสดงนำมาจากวรรณคดี ส่วนมากนิยมแสดงเรื่องพระกฤษณะ ตอนความรักของนางราธากับพระกฤษณะ
ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงมณีปุรี ได้แก่ กลอง ขลุ่ย สังข์ แตร ฉาบ และเครื่องสายที่สร้างทำนองเพลงอันไพเราะ
เครื่องแต่งกาย
ชุดเครื่องแต่งกายระบำราสลีลา ที่เรียกว่า “ภูมิล” เป็นชุดของผู้หญิง กระโปรงยาวคล้ายสุ่ม ช่วงเอวสวมผ้าอีกชิ้น คล้ายกระโปรงสั้น เหมือนร่มกางแผ่รอบเอว สวมเสื้อกำมะหยี่แขนสั้น คาดเอวด้วยผ้าปัก สวมเครื่องประดับ ใช้ผ้าโปร่งคลุมหน้า
ยัคชากานา บายาลาตะ
ยัคซากานาเป็นรูปแบบนาฏศิลป์การละคร มีลีลาการเคลื่อนไหวอันหนักแน่นและมีคำพรรณนาเป็นบทกวีจากมหากาพย์อินเดีย
ยัคซากานาเป็นรูปแบบนาฏศิลป์การละคร มีลีลาการเคลื่อนไหวอันหนักแน่นและมีคำพรรณนาเป็นบทกวีจากมหากาพย์อินเดีย
มีการก้าวตามจังหวะฟ้อนรำเป้นของตนเองเท่านั้น การแต่งหน้าและเครื่องแต่งกายแบบ อาฮาระยะ อภินะยะ หรูหรางดงามและสดใส
ชะฮู
เป็นนาฏศิลป์ที่ผสมผสานระหว่างคลาสสิกแท้กับระบำพื้นเมืองทั้งหมด ซึ่งไม่ได้เป็นของถิ่นใดๆ โดยเฉพาะ แต่เป็นของ 3 รัฐ คือ รัฐพิหาร รัฐโอรสสา และรัฐเบงกอล
เป็นนาฏศิลป์ที่ผสมผสานระหว่างคลาสสิกแท้กับระบำพื้นเมืองทั้งหมด ซึ่งไม่ได้เป็นของถิ่นใดๆ โดยเฉพาะ แต่เป็นของ 3 รัฐ คือ รัฐพิหาร รัฐโอรสสา และรัฐเบงกอล
คูชิปูดี
รูปแบบนาฏศิลป์ที่งดงามล้ำเลิศนี้ได้ชื่อมาจากหมู่บ้านชนบทในรัฐอันตรประเทศที่ให้กำเนิดการแสดงนี้ เป็นการละครฟ้อนรำด้วยเรื่องราวทางศาสนา
รูปแบบนาฏศิลป์ที่งดงามล้ำเลิศนี้ได้ชื่อมาจากหมู่บ้านชนบทในรัฐอันตรประเทศที่ให้กำเนิดการแสดงนี้ เป็นการละครฟ้อนรำด้วยเรื่องราวทางศาสนา
ดันดิยาราส
เป็นรูปแบบการเต้นพื้นบ้านดั้งเดิมที่นิยมมากที่สุดในรัฐคุชราต เป็นการเต้นโดยเฉพาะในเทศกาลนวราตี ซึ่งชาวฮินดูจะไปวัดเพื่อบูชาเทวีในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็จะมีการฉลองด้วยการเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
เป็นรูปแบบการเต้นพื้นบ้านดั้งเดิมที่นิยมมากที่สุดในรัฐคุชราต เป็นการเต้นโดยเฉพาะในเทศกาลนวราตี ซึ่งชาวฮินดูจะไปวัดเพื่อบูชาเทวีในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็จะมีการฉลองด้วยการเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
ดันดิยาราส มีกำเนิดมาจากการเต้น กรรบา เพื่ออุทิศถวายแด่เทวีทุรคา เป็นการล้อเลียนการต่อสู้ระหว่างเทวีทุรคา และมหิงสาสูร ราชาอสูรผู้ทรงอำนาจ ซึ่งใช้ไม้แทนดาบจริงๆ ก่อนเต้นจะมีพิธีบูชาเทวีทุรคา ที่เรียกว่า อารตี (Aarti) เป็นการแสดงเพื่อยกย่องพระเกียรติของพระนาง
ดันดิยาราส นั้นต้องเต้นกันเป็นกลุ่ม มีทั้งชายและหญิง สวมเครื่องแต่งกายที่สวยงามอลังการ พร้อมไม้ดันดิยาที่หลากสีสรร เรียกว่า ระบำไม้ (Stick Dance) เพราะคำว่า ดันดิยา (Dandiya) หมายถึง แท่งไม้ โดยมากมักมีความยาวประมาณ 18 นิ้ว ทำจากไม้ไผ่ ทาสี ตกแต่งให้สวยงาม ผู้แสดงจะถือไม้นี้ไว้ในมือทั้งสองข้าง และตีกระทบกันหมุนเป็นวงไปรอบๆ ตามเสียงดนตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น